“ธนกร” ชมรัฐบาล “บิ๊กตู่” ใกล้เผด็จศึกโควิด วันนี้ผู้ป่วยใหม่รายวัน 242 ราย จ่อ! ประกาศเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง 1 ต.ค.นี้!

“ธนกร” ชมรัฐบาล “บิ๊กตู่” ใกล้เผด็จศึกโควิด-19 วันนี้ผู้ป่วยใหม่รายวัน 242 ราย ขณะ สธ. วางแผน เตรียมประกาศ โควิด -19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง 1 ต.ค.นี้ ขอ ปชช.ปฏิบัติตามคำแนะนำรัฐบาล และ สธ. 

วันที่ 19 ก.ย. นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนขอชื่นชมการทำงานของรัฐบาล ภายใต้การบริหารของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งจำนวนผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาลรายใหม่วันนี้ 242 ผู้เสียชีวิต 11 ราย ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมแผนจะประกาศปรับให้ โควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคระบาดเฝ้าระวัง ในวันที่ 1 ตุลาคม นี้ โดยเตรียมความพร้อมให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาที่ง่ายขึ้น หากประชาชนที่ป่วยเป็นโควิด-19 เมื่อไปพบแพทย์และได้รับใบสั่งยาจากแพทย์แล้วสามารถไปซื้อยาต้านไวรัสที่ร้านขายยาได้ โดยผู้ป่วยทุกรายไม่จำเป็นต้องรับยาต้านไวรัส ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ขณะเดียวกัน กรมบัญชีกลาง เตรียมออกประกาศข้อกำหนดอัตราค่ายาผู้ป่วยนอกรักษาโรคโควิด-19 ให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ในสถานพยาบาลของทางราชการสำหรับตนเองและบุคคลในครอบครัว โดยสามารถเบิกค่ายา “ฟาวิพิราเวียร์ – โมลนูพิราเวียร์” ได้ตามอัตราที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนดไว้ ตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข กรณีที่ทดรองจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกไปก่อน ให้ยื่นขอใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล ไปยังส่วนราชการต้นสังกัดได้

นายธนกร กล่าวว่า ตนมั่นใจว่า รัฐบาลจะสามารถดูแลช่วงที่มีการปรับโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง อย่างไร้รอยต่อและไม่มีผลกระทบต่อการบริการประชาชน ระบบการดูแลต่างๆ มีความพร้อม สอดคล้องกับความเห็นของผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ได้คาดว่าแนวโน้มการระบาดโควิด-19 จะลดลงของในอนาคตจากยอดการเสียชีวิตทั่วโลกที่ลดลงแล้ว ซึ่งปัจจุบันคนไทยได้รับการฉีดวัคซีน สะสม (28 ก.พ. 64 – 18 ก.ย. 65) รวมแล้ว 143,123,776 โดย แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 57,303,097 ราย คิดเป็นประมาณร้อยละ 82.4 ของประชากร เข็ม 2 จำนวน 53,787,109 ราย คิดเป็นประมาณร้อยละ 77.3 ของประชากร และเข็ม 3 และ เข็ม 4 จำนวน 32,033,057 ราย คิดเป็นประมาณร้อยละ 46.1 ของประชากร ขณะที่ผลการฉีดวัคซีนผู้สูงอายุถึงวันที่ 17 กันยายน 65 รายงานว่า ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ฉีดเข็ม 1 จำนวน 10,748,991 โดส (84.6%) เข็ม 2 จำนวน 10,251,066 โดส (80.7%) เข็ม 3 ขึ้นไป จำนวน 6,484,925โดส (51.0%)

“ขอฝากถึงพี่น้องประชาชนยังให้ปฏิบัติตนตามคำแนะนำของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข สวมหน้ากากสม่ำเสมอ และดูแลตนเองแบบครอบจักรวาล โดยกลุ่มเสี่ยง 608 ยังต้องมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพี่อป้องกันและดูแลสุขภาพตนเองให้ปลอดโรค ปลอดภัย อยู่เสมอ” นายธนกร กล่าว