พิธีรำลึกวัน 14 ตุลา ป่วน เกิดเหตุกระทบกระทั่งระหว่างคนรุ่นใหม่กับรุ่นเก่า ต้องเจรจากันวุ่น

พิธีรำลึกวัน “14 ตุลา 16” ประจำปี 64 วุ่นวายเป็นระยะ มีการปลดป้ายผ้าข้อความไม่เหมาะสมบางส่วนของกลุ่มทะลุฟ้า แถมด้วยการชูสามนิ้วของกลุ่มต่างๆภายในงาน ช่วงบ่ายมีบึมจากประทัดยักษ์เป็นระลอกที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนจะ “แกง” ตำรวจหนีฝนไปรวมพลที่แยกปทุมวัน ด้านประธานกรรมการมูลนิธิ 14 ตุลา ปาฐกถา “ความฝันจากเหตุ 14 ตุลาเป็นจริงแล้วบางส่วน แต่หลายอย่างยังไม่เป็นจริง ระบบการเมืองการปกครองยังอยู่ในวังวนของวงจรอุบาทว์ นําพาประเทศไทยเดินทางมาถึงปากเหว” ขณะที่ศาลอาญาให้ประกัน “ตู่- จตุพร” แล้วในวงเงิน 3 แสนบาท

ยังคงต้องติดตามกันต่อกับสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มมวลชนต่างๆ โดยเฉพาะการชุมนุมเพื่อแสดงออกสัญลักษณ์ทางการเมืองในเหตุการณ์ “14 ตุลา 16” ซึ่งถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยก คอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 14 ต.ค. มีการจัดพิธีรำลึกเหตุการณ์ “14 ตุลา 16” เป็นกิจกรรมจัดขึ้นทุกปีเพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ของประชาชนนักเรียนนิสิตนักศึกษาและผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของประเทศ บรรยากาศในปีนี้ไม่ราบรื่นเช่นเคยเพราะยังไม่ทันเริ่มพิธีก็เกิดเหตุกระทบกระทั่งกันเพราะความคิดเห็นที่แตกต่างระหว่างคนรุ่นใหม่กับรุ่นเก่า มีมวลชนกลุ่มทะลุฟ้าจำนวนหนึ่งเดินทางมาปักหลักตั้งเต็นท์ด้านข้างสถานที่จัดงาน อ้างตั้งสภากาแฟพูดคุยการเมือง เปิดเพลงเพื่อชีวิตเสียงดังและนำป้ายผ้าข้อความต่างๆ อาทิ ปฏิรูปสถาบันและอื่นๆมาติดรอบบริเวณจัดงานโดยไม่ได้ขออนุญาตกับผู้จัดมาก่อน จนมีปากเสียงกับนายประสาร มฤคพิทักษ์ กรรมการมูลนิธิ 14 ตุลา อดีตผู้นำนักศึกษา ที่เข้าไปต่อว่าทั้งขอให้ปลดป้ายข้อความพร้อมขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ สุดท้ายกลุ่มทะลุฟ้ายอมนำป้ายบางส่วนลง

สำหรับพิธีสำคัญของงานรำลึกเหตุการณ์ประวัติ ศาสตร์ยังคงดำเนินต่อ ประกอบด้วย การทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์ พิธีกรรม 3 ศาสนา ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม การวางพวงมาลาของตัวแทนภาครัฐ รัฐสภาพรรคการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาล กรรมการสิทธิมนุษยชน ภาคประชาชนตลอดจนองค์กรต่างๆ พร้อมทั้งตัวแทนทุกภาคส่วนได้ร่วมกันกล่าวสดุดีวีรชนในเหตุการณ์ 14 ตุลา มีนายอนุชา นาคาศัย รมต.สำนักนายกฯ นำพวงมาลามาวางแทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี การดำเนินงานในส่วนนี้ยังคงเป็นไปด้วยความราบรื่น

กระทั่งเวลา 09.50 น. ระหว่างที่มีการกล่าวสดุดีวีรชนโดยตัวแทนองค์การบริหารนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง เมื่อกลุ่มนักศึกษา มธ.พรรคป๋วยก้าวหน้า พรรคเสรีธรรมศาสตร์ และกลุ่มแสงโดม นำเครื่องกระจายเสียงเข้าไปในงานก่อนตะโกนต่อว่าตัวแทนองค์การนักศึกษา มธ.ว่าเพราะเหตุใดตอนจัดงาน “6 ตุลา” ที่ ม.ธรรมศาสตร์ องค์การนักศึกษา มธ. จึงออกมาค้านและสร้างเงื่อนไขโดยอ้างสถานการณ์โควิด-19 แต่พอมาร่วมงานที่จัดโดยภาครัฐกลับไม่มีเงื่อนไขอะไร จนผู้จัดงานนำโดยนางสุนี ไชยรส อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ต้องเข้ามาห้ามปรามวุ่นวาย ระหว่างนั้นยังได้มีเยาวชนสวมหน้ากากห่มผ้าคลุมสีดำสกรีนคำว่า “ทะลุแก๊ส” ขึ้นมายืนชู 3 นิ้วกลางงาน แต่กิจกรรมยังสามารถดำเนินต่อไปได้จนสิ้นสุด

จากนั้นกลุ่มทะลุฟ้านำป้ายต่างๆที่เตรียมมาไปติดรอบอนุสรณ์สถานตามเดิม ส่วนกลุ่ม นศ.พรรคป๋วยก้าวหน้า พรรคเสรีธรรมศาสตร์และกลุ่มแสงโดม นำเครื่องเสียงมาเปิดฟรีไมค์หน้าอนุสรณ์สถานเพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถกล่าวแสดงความรู้สึกภายใต้หัวข้อ “งาน 14 ตุลาฯ เป็นงานของประชาชนไม่ใช่งานเช็งเม้งของศักดินา มาร่วมทวงคืนจิตวิญญาณประชาธิปไตยไปกับเรา”

ที่ห้องประชุมด้านหลังอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานกรรมการมูลนิธิ 14 ตุลา กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “เหลียวหลังแลหน้า 14 ตุลา 2516 : ในสถานการณ์โควิด-19” มีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า อานิสงส์จากเหตุการณ์ 14 ตุลา ทำให้ได้รัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชน ความฝันวันที่ 14 ตุลา หลายอย่างเป็นจริงแล้ว หลายอย่างยังไม่เป็นจริง โดยเฉพาะระบบการเมืองการปกครองที่ยังอยู่ในวังวนของวงจรอุบาทว์ที่นําพาประเทศไทยเดินทางมาถึงปากเหว หรือจุดพลิกผัน จากนั้นเป็นการปัจฉิมกถา โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งติดภารกิจจึงมอบให้คณะกรรมการจัดงานอ่านข้อความแทน ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า 14 ตุลาคมช่วยสร้างประชาธิปไตยให้แก่ประเทศไทย เราจึงต้องสืบสานจิตวิญญาณแห่ง 14 ตุลา เพื่อนำประชาธิปไตยกลับมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันเราต้องตระหนักการที่ประชาธิปไตยจะสามารถลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงและสามารถตอบสนองต่อประชาชนได้อย่างแท้จริง ยังต้องการทั้งนิติรัฐความสามารถสูงควบคู่ไปด้วย

ส่วนบรรยากาศการชุมนุมเพื่อรำลึกถึงวัน 14 ตุลา ในช่วงบ่าย ที่หน้าร้านแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เวลา 15.30 น. กลุ่มมวลชนเสื้อแดง และกลุ่มวัยรุ่นที่สวมเครื่องแต่งกายคล้ายนักเรียนอาชีวะขี่รถ จยย.มารวมตัวกัน ตามที่กลุ่มทะลุแก๊สนัดหมาย บางรายพกธงสัญลักษณ์กลุ่มรวมทั้งวัตถุที่มีลักษณะคล้ายโล่มาด้วย ระหว่างนั้นมีตำรวจหน่วยอีโอดี นำรถเข้ามาวนเพื่อจะตรวจหาวัตถุระเบิด บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมโห่ไล่และเปิดฉากยิงพลุสีเข้าใส่ตำรวจก่อน ไม่นานมีรถตู้ของตำรวจวิ่งผ่านมาอีกคันถูกขว้างประทัดยักษ์ใส่ คราวนี้มีผู้ชุมนุมบางส่วนเริ่มแสดงความไม่พอใจพวกเดียวกันเองที่มีใช้วัตถุระเบิดซึ่งขัดกับที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า ทำให้หลายคนกรูเข้ามาหาคนปาระเบิดจนหวิดจะวางมวยกัน ก่อนมีตัวกลางเข้ามาเคลียร์

จากนั้นไม่นานตำรวจเริ่มยุทธการเชิงรุกไม่ให้ผู้ชุมนุมรวมตัวกัน โดยใช้รถตู้ขนกำลังพลเคลื่อนเข้ายึดพื้นที่หน้าร้านแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชา ธิปไตย แต่ก่อนตำรวจจะเข้าพื้นที่ กลุ่มผู้ชุมนุมสลายตัวแยกย้ายหลบหนี ระหว่างนั้นมีระเบิดปิงปองลูกหนึ่งลอยมาจากฝั่งผู้ชุมนุมหล่นลงระเบิดเสียงดังสนั่นบนหลังคารถตู้ทะเบียน ฮฐ 865 กรุงเทพมหานคร ของตำรวจ จนเสียหายหลังคาด้านซ้ายบุบ ตามมาด้วยระเบิดเสียงดังอีกลูกบนถนนราชดำเนินกลาง กำลังตำรวจเริ่มกรูลงจากรถเข้ายึดพื้นที่ เป็นที่น่าสังเกตว่ากำลังเจ้าหน้าที่ชุดนี้ทั้งหมดไม่ได้แต่งชุดเครื่องแบบควบคุมฝูงชนแค่สวมเครื่องแบบตำรวจสวมเกราะทับพร้อมปืนยิงกระสุนยาง บางรายพกปืนสั้นประจำกายด้วย แต่สุดท้ายเกิดฝนตกหนักลงมาในพื้นที่ ทำให้ผู้ชุมนุมและตำรวจแยกย้ายโดยปริยาย

มีรายงานว่า หลังจากนั้นไม่นาน เฟซบุ๊กเพจทะลุแก๊ส โพสต์ข้อความว่า #แกงหม้อใหญ่ รวมพลกันตอนนี้ ที่แยกปทุมวัน ส่งเสียงพร้อมกันให้พวกศักดินา นายทุน ได้ยินสักที

วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา เวลา 15.00 น.ศาลอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขดำ อ.2799/2557 (ชุมนุมล้อมบ้านสี่เสาเทเวศร์) ยื่นอุทธรณ์ขอปล่อยชั่วคราวเมื่อวันที่ 12 ต.ค. โดยศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 1 เคยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวตลอดมา กระทั่งจำเลยที่ 1 ต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่กำหนด 12 เดือนในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.240/2558 (คดีหมิ่นฯนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ของศาลชั้นต้น ต่อมาผู้ประกันส่งตัวจำเลยที่ 1 บังคับโทษตามคำพิพากษาคดีดังกล่าว ระหว่างนั้นมี พ.ร.ก.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2564 จำเลยที่ 1 อยู่ในเกณฑ์จะได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวตาม ม.6 (1) ประกอบ ม.16 และอยู่ ระหว่างการอบรมเตรียมความพร้อมการปล่อยตามที่กรมราชทัณฑ์กำหนดตามหนังสือของเรือนจําพิเศษ กรุงเทพมหานครที่ ยธ 0768/9068 ประกอบกับโจทก์ไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราว จึงอนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราว ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นเฉพาะคดีนี้กรณีผิดสัญญาประกันให้ปรับ 300,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้จำเลยที่ 1 หลบหนี จึงเห็นสมควรให้จำเลยที่ 1 นำหลักประกันตามจำนวนดังกล่าวมาวางศาล

ต่อมาเวลา 18.45 น. นายจตุพรได้ถูกปล่อยตัวชั่วคราวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ท่ามกลางมวลชนที่มาคอยต้อนรับ อาทิ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และกลุ่มไทยไม่ทน ระหว่างนั้นมีฝนตกลงมาโปรยปรายไม่ขาดสาย จากนั้นนายจตุพรกล่าวขอบคุณศาลอุทธรณ์ที่ให้ความเมตตา รวมถึงมวลชนกลุ่มไทยไม่ทนที่มารอให้กำลังใจตั้งแต่เมื่อวานและวันนี้ ส่วนประเด็นทางการเมืองมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะอยู่ในอำนาจไม่ถึง 8 ปี เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้และการเมืองไทยขณะนี้เข้าสู่ภาวะวิกฤติ หลังจากนี้จะเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างไร ต้องขอพูดคุยกับพี่น้องแกนนำและเพื่อนๆก่อน