“ชูวิทย์” ลั่นพร้อมสู้ ประกาศกร้าว “กูไม่กลัวมึง” จ่อฟ้อง “ทนายตั้ม” หมิ่นประมาทคดีละ 100 ล้าน

“ชูวิทย์”ลั่นพร้อมสู้ และจะกัดตอบพวกลอบกัด ประกาศกร้าว “กูไม่กลัวมึง“ ควงทนายอนันต์ชัย จ่อฟ้อง”ทนายตั้ม”หมิ่นประมาทคดีละ 100 ล้าน และไปร้องผิดมรรยาทต่อสภาทนายความฯ

เมื่อเวลา 09.00น. วันที่ 27 มี.ค.66 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ พร้อมด้วย นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความมาตามนัดไต่สวนมูลฟ้อง คดีที่นายชูวิทย์ ฟ้องนายสันธนะ ประยูรรัตน์ เป็นจำเลย ในข้อหาแจ้งความเท็จ สร้างหลักฐานเท็จ และ หมิ่นประมาท นอกจากนี้ยังฟ้องเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านบาท

จากกรณีที่นายสันธนะ กล่าวหาว่าที่โรงแรมเดอะเดวิส คอนเนอร์วิงค์ ซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตยของบุตรชายนายชูวิทย์ เป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาเสพติดของนักเที่ยว มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จโดยการแอบถ่ายและนำคลิปวิดีโอไปแจ้งความกับตำรวจ สน.ทองหล่อ ซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน ส่งผลให้ชื่อเสียงของโรงแรมและนายชูวิทย์เสื่อมเสีย วันนี้ถึงมายื่นฟ้องนายสันธนะโดยมี บริษัท ต้นตระกูล จำกัด เป็นโจทก์ที่ 1 และมีนายชูวิทย์ เป็นโจทก์ที่ 2

วันนี้นายชูวิทย์ จะเดินทางมากับนายอนันต์ชัย ทนายความ มาไต่สวนมูลฟ้องครั้งที่ 2 จะมีการซักค้านนายชูวิทย์ และสืบพยานพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ

โดยนายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า วันนี้นายชูวิทย์มีคดีทางอาญากับนายสันธนะ ส่วนกรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้มีการแถลงข่าว ว่านายชูวิทย์มีรับเงินจำนวน 10-50 ล้านบาท เข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาท ซึ่งเมื่อวันที่24 มี.ค.ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ได้โทรศัพท์มาหาตน ว่าการกระทำของนายษิทราดังกล่าวนั้นถูกหรือผิด ซึ่งตนก็บอกไม่ได้ว่าถูกหรือผิดแต่ตามมาตรฐานของตนนั้น จะไม่มีวิจารณ์คดี หรือวิจารณ์งานใคร ไม่ก้าวก่ายงานของใคร ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเปิดเผยต่อสาธารณชน และถ้าไม่ได้เป็นลูกความของตน ตนก็จะไม่แถลงข่าว เพราะถือว่าเป็นการผิดมรรยาททนายความ

ดังนั้นวันนี้ตนจะแถลง 3 ประเด็น คือ ในกรณีนี้อยู่ระหว่างที่นายชูวิทย์กำลังตีแผ่เปิดโปงทุจริตเกี่ยวกับการคอรัปชั่นทุนสีเทา ถือว่าเป็นการเปิดเผยความจริงเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แต่ระหว่างนั้นกับมีบุคคลที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย และไม่ใช่ประจักษ์พยาน ไปกล่าวหาว่านายชูวิทย์รับเงินจากบุคคลอื่น และลูกชายของนายชูวิทย์ก็รับเงินดิจิตอลจากคนอื่น ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของนายชูวิทย์ ในศาลถ้าไม่ใช่ประจักษ์พยานเป็นพยานบอกเล่าศาลจะไม่รับฟัง ยกเว้นพยานหลักฐานเเวดล้อมใกล้เคียงสอดคล้องกัน เเต่การไปกล่าวหานายชูวิทย์เเละลูกชายไปรับเงิน ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว อย่างเรื่องที่ถ่ายถุงใส่เงิน เพราะได้เอาไว้เเบล็คเมล์ ต้องพิสูจน์ในศาล

ประเด็นที่ 2 เรื่องมารยาททนาย นายษิทราเป็นคนที่มีวิชาชีพทางด้านกฎหมาย ทำการแถลงข้อเท็จจริงโดยข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนกับความจริงและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ การกระทำเช่นนี้น่าจะผิดมรรยาททนายความ จากข้อบังคับของสภาทนายความ พ.ศ 2529 ที่ระบุว่า การกระทำอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีกันในคดีอันหามูลมิได้ มีโทษสูงสุดต้องลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความซึ่งนายชูวิทย์จะต้องไปร้องที่สภาทนายความ

ประเด็นสุดท้าย ตาม พ.ร.บ. การฟอกเงินพ.ศ 2542 ซึ่งมีโทษทางอาญาซึ่ง ต้องมีการกระทำโดยเจตนาต้องรู้ว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิดมูลฐาน แล้วต้องรับโอนซุกซ่อนปกปิดแหล่งที่มาหรือครอบครองหรือใช้เงินนั้น โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินที่มาจากกระทำความผิด แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้นายชูวิทย์ไม่ทราบ เพราะทรัพย์สินที่เขาให้มาเป็นเงินที่ได้จากการเล่นการพนันหรือการกระทำผิดต่อกฎหมายหรือไม่ เงินนี้มีคนให้มาเพื่อต้องการปิดปาก แต่นายชูวิทย์ไม่รับจึงนำเงินไปบริจาค ส่วนที่เห็นว่าทำไมถึงไม่แจ้งต่อโรงพยาบาลที่นำเงินไปบริจาคเพราะมันเป็นเรื่องภายใน เพราะนานชูวิทย์เป็นคนสีเทาที่จะไม่ฆ่าน้องไม่ฟ้องนายไม่ขายเพื่อน สรุปว่านายชูวิทย์ขาดเจตนาการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน แต่ตรงกันข้ามกับนายษิทรา ยอมรับว่า มีคนให้เงินมา เกิดจากการปกปิดมิให้แถลงข่าวเปิดโปงสารวัตรซัว ครบองค์ประกอบการฟอกเงิน  ตนขอฝากไปบอกโฆษกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า ว่าสุ่มเสี่ยงเรื่องฟอกเงิน ว่าอาจจะถูกนายชูวิทย์ฟ้องในข้อหามาตรา 157 ได้

อย่างไรก็ตามต่อแต่นี้ไปนายชูวิทย์จะไม่ตอบโต้กับนายษิทราแล้ว เพราะตนแนะนำไว้ เป็นหน้าที่ของตนที่จะฟ้องคดีอาญาและแพ่ง หากพาดพิงนายชูวิทย์อีกร้องค่าเสียหาย 100 ล้านบาทต่อครั้ง

นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนขอพูดสั้นๆเรื่องการใช้สื่อ เป็นเครื่องมือใช้กันโดยการแถลงข่าว เมื่อมีอาชีพทนายก็ต้องใช้กฎหมายเมื่อมีคนเดือดร้อนถ้าไปคิดตังค์เขาตอนแถลงข่าวไม่มีโจทย์ไม่มีจำเล ยไม่มีศาลตัวเองก็ไม่มีหลักฐานการพูดในทุกๆเรื่องไม่ได้ หมายถึงเรื่องของตนเรื่องเดียว การที่มีเจตนาคิดเงินค่าแถลงข่าวซึ่งเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบแต่ว่าได้เงินแน่นอน อาชีพทนายความต้องใช้ความรู้ความสามารถ ใช้เวลา ใช้หลักฐานใช้พยาน ส่วนที่ใช้การแถลงข่าวนั่นไม่ใช่วิถีของทนายความ โดยอย่างยิ่งบอกว่าตัวเองเป็นทนายประชาชน ส่วนเงินบริจาคจำนวน 6 ล้านบาท ที่ทางโรงพยาบาลคืนมา อยากให้ติดตามว่าวันพรุ่งนี้ ( 28 มี.ค.) จะเอาไปให้ใคร ตอนนี้มีกระบวนการพยายามที่จะมาปิดปากตนเอง มีทั้งทนายความ พวกหิวแสงนักร้องเรียน ใครฟ้องมาตนก็จะฟ้องกลับ จะสู้ในทางกฎหมาย สู้ทางสังคม พร้อมสู้ทุกทางเวลาสู้ก็จะไม่ถอยเหมือนกัน ฝากไปบอกหมาลอบกัด พร้อมจะกัดตอบ และประกาศ “กูไม่กลัวมึง“