ภาคตะวันออกของจีน เผชิญคลื่นความร้อนรุนแรง! อุณหภูมิพุ่งสูง ดับแล้วหลายราย

พื้นที่ทางภาคตะวันออกของจีนเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรง บางพื้นที่อุณหภูมิพุ่งเกิน 40 องศา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วหลายราย

อุณหภูมิในเขตเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน สูงแตะ 40.9 องศาเซลเซียส เมื่อช่วงบ่ายวันพุธ ซึ่งนับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติไว้เมื่อปี พ.ศ. 2416 โดยสำนักงานอุตุนิยมวิทยาเซี่ยงไฮ้ แจ้งเตือนอุณหภูมิสูงระดับสีส้ม ตอน 08.00 น. ของวันพุธ ก่อนจะยกระดับเป็นสีแดง ซึ่งเป็นระดับสูงสุด โดยประกาศดังกล่าวนับเป็นการแจ้งเตือนระดับสีแดง ครั้งที่ 3 ในรอบ 5 วัน

นอกจากนี้ เซี่ยงไฮ้ มีเดีย กรุ๊ป ยังรายงานเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า อุณหภูมิพื้นผิวใกล้กับเดอะบันด์ แลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียงของเซี่ยงไฮ้สูงสุดทำลายสถิติที่ 55.5 องศาเซลเซียสด้วย ในปีนี้เซี่ยงไฮ้มีวันที่อุณหภูมิสูงเกิน 35 องศาเซลเซียส รวม 14 วัน เมื่อนับจนถึงวันพุธที่ผ่านมา (13 ก.ค.) ในจำนวนนี้มีวันที่อุณหภูมิสูงเกิน 37 องศาเซลเซียส 8 วัน และวันที่อุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส 2 วัน โดยข้อมูลการพยากรณ์ล่าสุดระบุว่าเซี่ยงไฮ้จะยังคงมีอุณหภูมิสูงต่อไปอีก 3-4 วัน ขณะเดียวกันเซี่ยงไฮ้กำลังเข้าสู่ภาวะตึงเครียดจากการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ย่อย BA.5 ซึ่งทำให้บางพื้นที่ต้องเข้าสู่การล็อกดาวน์อีกครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ต้องสวมชุดพีพีอีท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด ต่างต้องพกขวดน้ำแข็ง หรือก้อนน้ำแข็งไว้ใกล้ตัวเพื่อช่วยคลายร้อน

ส่วนที่เมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู ห่างจากเซี่ยงไฮ้ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 300 กิโลเมตร เมืองที่ได้ชื่อว่ามีอุณหภูมิสูงอยู่แล้ว ประชาชนต่างต้องอยู่ในเต็นท์แอร์ที่ทางการจัดหาไว้ให้เพื่อช่วยคลายร้อน หลังจากอุณหภูมิพุ่งทะลุ 40 องศาเซลเซียส จนทางการต้องประกาศเตือนภัยในระดับสีแดงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2560 โดยปีนี้มีการตั้งเต็นท์ปรับอากาศคลายร้อน 7 แห่งทั่วเมือง

นอกจากนี้ ที่มณฑลเจ้อเจียงยังมีรายงานอุณหภูมิพุ่งสูงทำลายสถิติเช่นกัน โดยอุณหภูมิทะลุ 42 องศาเซลเซียส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เช่นเดียวกับ มณฑลใกล้เคียงอย่างเจียงซู และฝูเจี้ยน ที่เผชิญกับคลื่นความร้อน ขณะที่เหอหนาน เสฉวน เฮย์หลงเจียง มีรายงานผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลจากอาการลมแดด โดยเริ่มมีรายงานผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศร้อนจัดในหลายพื้นที่ แต่ยังไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดว่ามีผู้เสียชีวิตมากน้อยเพียงใด.

ที่มา : เอพี, ซินหัว