ล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้! ยิ่งนานยิ่งปะทุแรง ประชาชนแสดงความไม่พอใจต่อมาตรการแข็งกร้าว “สี จิ้นผิง”

  • ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน อาจจะต้องเผชิญปัญหาที่ใหญ่กว่าการสกัดการระบาดของโควิด-19 ในประเทศ เมื่อกระแสความโกรธแค้นของชาวเซี่ยงไฮ้เริ่มปะทุรุนแรง และมีทีท่าว่าจะยิ่งลุกลามบานปลาย หากยังไม่มีการคลายมาตรการล็อกดาวน์
  • ภาพคลิปวิดีโอของการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจจีน และประชาชน หลังถูกบังคับให้ออกจากที่พักอาศัยของตัวเอง เริ่มแพร่หลายในโลกโซเชียลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของประชาชนต่อมาตรการแข็งกร้าวที่เกิดขึ้นในเซี่ยงไฮ้เวลานี้

ชาวนครเซี่ยงไฮ้ของจีนราว 25 ล้านคน ยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์มานานกว่า 3 สัปดาห์แล้ว ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งแม้ว่าทางการจีนจะมีการคุมเข้มและพยายามควบคุมคลิปที่ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ในโลกโซเชียล แต่ครั้งนี้ดูเหมือนกระแสความไม่พอใจที่ลุกลามเป็นวงกว้าง จะทำให้การควบคุมเป็นไปได้ยาก จนคนทั่วโลกได้เห็นคลิปการปะทะกันระหว่างตำรวจจีนและประชาชนที่ไม่พอใจมาตรการคุมเข้มในเซี่ยงไฮ้หลุดรอดมาเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีการเซนเซอร์คลิปของชายสูงอายุวัย 82 ปี ที่ร้องขอยารักษาจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น แต่ทางเจ้าหน้าที่ระบุว่าพวกเขามีเพียงยาแผนจีนให้เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการส่งต่อเรื่องราวของคนที่ฆ่าตัวตาย ในเว่ยป๋อ และวีแชต จำนวนมาก แม้ว่าข้อความจะถูกลบออกไปอย่างรวดเร็ว และยังมีคำบอกเล่าจากประชาชนที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านไปซื้อของ แต่กลับพบว่าร้านค้าปิดทั้งหมด แถมยังพบภาพสะเทือนใจของซากแมวและสุนัขที่นอนตายข้างถนน เนื่องจากไม่มีใครออกมาให้อาหารพวกมันได้

เหตุผลหลักๆ ที่ชาวเซี่ยงไฮ้แสดงท่าทีต่อต้านมาตรการของภาครัฐชัดเจน เพราะมาตรการล็อกดาวน์ครั้งนี้เป็นการล็อกดาวน์ที่ยาวนาน และยังมีการขยายระยะเวลาโดยไม่ได้แจ้งเตือนล่วงหน้ามาก่อน และส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ทั้งการขาดแคลนอาหาร และยารักษาโรค รวมทั้งมีการใช้กำลังบังคับให้ชาวบ้านต้องออกจากบ้านเรือนของตัวเอง เพื่อใช้เป็นสถานที่กักตัว เนื่องจากจำนวนของผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นกว่า 20,000 รายต่อวัน จนสถานที่รองรับมีไม่เพียงพอ รวมทั้งการล็อกดาวน์ที่ยาวนานที่ยังไม่เห็นทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ทั้งๆ ที่ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่แทบจะไม่แสดงอาการ โดยจีนเป็นเพียง 1 ในไม่กี่ประเทศของโลกที่ยังคงยึดมั่นที่จะกำจัดและสกัดการระบาดของโควิดในประเทศให้ได้ ซึ่งแตกต่างจากประเทศส่วนใหญ่ที่เริ่มปรับนโยบายให้อยู่ร่วมกับโควิดกันแล้ว

วิกฤติครั้งนี้นับเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของ นายสี จิ้นผิง ที่ต้องการจะครองตำแหน่งผู้นำสมัยที่ 3 ต่อไป เนื่องจากการประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะใช้นโยบายคุมโควิดให้เป็นศูนย์ต่อไป และยังไม่มีการผ่อนคลายมาตรการใดๆ ในเวลานี้ ทำให้ประชาชนทั้งในเซี่ยงไฮ้และจี๋หลิน ราว 24 ล้านคน เกิดความไม่พอใจและวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของรัฐบาลภายใต้การนำของนายสีอย่างหนัก จนถูกจับตามองว่าประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างจีน จะต้องเผชิญกับการต่อต้านจากประชาชนคนธรรมดามากน้อยเพียงใด

ต้าลี่ หยาง ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์การเมือง ที่จับตามองจีน จากมหาวิทยาลัยชิคาโก มองว่า สถานการณ์ในเวลานี้สำหรับผู้นำจีนแล้ว มันคือเสียงบ่นที่ควรต้องรับฟัง แม้ว่าสถานการณ์จะยังอยู่ในระดับท้องถิ่น และยังไม่รุนแรงมากก็ตาม อย่างไรก็ตามมันก็ขึ้นอยู่กับการแพร่กระจายของไวรัสที่จะขยายวงกว้างออกไปหรือไม่ แต่ก็ไม่ควรประเมินความสามารถของระบบโฆษณาชวนเชื่อของทางการจีนต่ำเกินไป อย่างกรณีของอู่ฮั่น การให้การสนับสนุนผู้นำจากมวลชนชาวจีนก็ไม่ได้ลดลง แถมยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ส่วนกรณีของนครเซี่ยงไฮ้ก็ยังมีคนจำนวนมากที่กล่าวโทษไปที่ผู้นำท้องถิ่น มากกว่าที่จะกล่าวโทษไปที่รัฐบาลกลางของจีน โดยมองว่าผู้บริหารเซี่ยงไฮ้ไม่มีความสามารถในการควบคุมโรคได้ จนสร้างความเสียหายไปทั้งประเทศ และคนส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังคงให้การสนับสนุนนโยบายคุมโควิดให้เป็นศูนย์ และไม่พร้อมที่จะใช้ชีวิตอยู่กับไวรัส แม้จะมีคลิปวิดีโอมากมายที่ถูกส่งออกมาจากเซี่ยงไฮ้ก็ตาม นอกจากนี้สื่อของทางการยังนำเสนอข่าวเรื่องการส่งความช่วยเหลือทั้งอาหารและยาไปให้ชาวเซี่ยงไฮ้อย่างเพียงพอ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมีชาวเซี่ยงไฮ้อีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ

ล่าสุด มีรายงานว่ารัฐบาลจีนได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งลงไปยังเซี่ยงไฮ้ เพื่อเข้าให้การช่วยเหลือบริษัทกว่า 660 แห่ง ที่เป็นภาคส่วนหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อย่างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และรถยนต์ เพื่อให้บริษัทเหล่านี้สามารถกลับมาเปิดสายการผลิตได้อีกครั้ง ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบุเมื่อวันศุกร์ว่า พวกเขาจะเร่งจัดหาวัตถุดิบในการผลิตยาเวชภัณฑ์ให้ได้เพียงพอตามความต้องการ หลังจากหลายโรงงานในประเทศจะต้องระงับการผลิตชั่วคราว เนื่องจากไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบที่จำเป็นที่ส่งออกมาจากเซี่ยงไฮ้ได้ ซึ่งหากเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจหลักอย่างเซี่ยงไฮ้ยังคงเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ยาวนานกว่านี้ ย่อมพลิกผันความเติบโตทางเศรษฐกิจที่จีนเคยทำได้ช่วงต้นปี ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ผลกระทบจากการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ น่าจะเห็นชัดเจนในตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของเดือน เม.ย.นี้.

ผู้เขียน : อาจุมม่าโอปอล

ที่มา : บีบีซีวอชิงตันโพสต์บลูมเบิร์ก