“หมอธีระ” เผย!! “โอมิครอน” สายพันธุ์ EG.5.1 อาจระบาดช่วงปลายปี การจัดหาวัคซีนจำเป็นมาก

“หมอธีระ” เผย โอมิครอน สายพันธุ์ EG.5.1 อาจะทำเกิดการระบาดอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ แนะใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวให้ปลอดภัย เอาการระบาดครั้งก่อนมาเป็นบทเรียน

วันที่ 8 สิงหาคม 2566 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า EG.5.1 ชื่อเต็มคือ XBB.1.9.2.5.1 ชื่อเล่นว่า Eris มีรายงานตรวจพบแล้วอย่างน้อย 36 ประเทศทั่วโลก ตัวเต็งในการจะนำไปสู่การระบาดระลอกปลายปีนี้

ความรู้จนถึงปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของไวรัส ที่ตำแหน่ง F456L นั้นทำให้มีสมรรถนะหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้มากกว่า XBB เดิมๆ ที่ระบาดมาก่อนหน้านี้ ทั้งนี้มีสถิติการตรวจพบในสัดส่วนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในหลากหลายประเทศทั่วโลก ทั้งอเมริกา อังกฤษ ไอร์แลนด์ สเปน ฝรั่งเศส รวมถึงทวีปเอเชีย อาทิ จีน ญี่ปุ่น

Topol E. นำเสนอภาพเปรียบเทียบรหัสพันธุกรรมในตำแหน่งต่างๆ ระหว่าง XBB.1.5, EG.5.1, และ BA.5 (ภาพที่ 4) จะเห็นได้ว่าแม้ทุกตัวจะเป็น Omicron เหมือนกัน แต่ EG.5.1 นั้นมีตำแหน่งการกลายพันธุ์ ที่แตกต่างจากสายพันธุ์เดิมๆ อย่าง BA.5 ที่ระบาดมากช่วงปี 2022 แต่ EG.5.1 มีความแตกต่างไม่มากนัก จาก XBB.1.5 ซึ่งระบาดมากในช่วงปลายปีก่อนถึงช่วงต้นปีนี้

ดังนั้นจึงมีการประเมินว่า หากใช้วัคซีนรุ่นใหม่ ที่ปรับสายพันธุ์เป็น XBB.1.5 ก็น่าจะทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยรุนแรงได้ดีขึ้น กว่าวัคซีนรุ่นเดิมๆ ที่ใช้กันอยู่ รวมถึง Bivalent ที่ใช้ BA.1 หรือ BA.5 เป็นองค์ประกอบ

ทั้งนี้ การประเมินดังกล่าว ก็สอดคล้องกับผลการวิจัยทางห้องปฏิบัติการที่ Cao YR จากมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้นำเสนอมาเมื่อสองวันก่อน การวางแผนบริหารจัดการเรื่องวัคซีน ให้สอดคล้องกับสายพันธุ์ที่ระบาด จึงมีความจำเป็นเหนืออื่นใด

การระบาดจะปะทุขึ้นมามากน้อยเพียงใดนั้น นอกจากจะมีอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของไวรัส และระดับภูมิคุ้มกันจากการได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพแล้ว

เราได้เรียนรู้ชัดเจนจากระลอกที่ผ่านมา หลังสงกรานต์และเปิดเทอม ว่าไม่ได้เกิดจากฤดูกาล แต่เกิดจากพฤติกรรมการป้องกันตัวที่ไม่เพียงพอ โดยมีกิจกรรมเสี่ยง แออัด ใกล้ชิดกันมาก ดังนั้นจึงควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท ป้องกันตัวเสมอ การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก.

คลิกชมที่นี่

ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat