“หลวงพี่น้ำฝน” ขอบคุณ “นายกฯลุงตู่-อนุชา” ที่ออกมาช่วยปกป้องพระศาสนา เปรย “เราเป็นพระ” ไม่สามารถโกรธเคืองใครได้

หลวงพี่น้ำฝนเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม นครปฐม ขอบคุณ นายกฯ ลุงตู่ และรมต.ประจำสำนักนายกฯ  ที่ออกมาปกป้อง สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนา เปรย “เราเป็นพระ” ไม่สามารถโกรธเคืองใครได้ จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวทำ จะสูงจะต่ำอยู่ที่เราทำตัว รับเป็นนักเลงที่พูดคำไหนคำนั้น ไม่ใช่อันธพาลหรือคนเลว 

วันที่ 18 พ.ค. ที่วิหารหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม อ.เมืองนครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ออกมาพูดอนุโมทนาบุญกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ในฐานะที่ท่านทั้ง 2 กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้ออกมาให้กำลังใจและการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท ระหว่างฆราวาสกับพระสงฆ์ เพื่อเรียกศรัทธาคืนจากพุทธศาสนิกชน พร้อมกับ ให้ พศ. ดำเนินการในส่วนที่จำเป็น ซึ่งมีคำสั่งให้ พศ. แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่เกิดปัญหา เพื่อตรวจสอบซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่รวมไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงมาเพื่อช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนา ให้พระพุทธศาสนามีการขับเคลื่อนต่อไปได้

พร้อมกันนี้ หลวงพี่น้ำฝน ยังได้ให้ศีลวาทกับผู้ที่จะมาทำลายพระพุทธศาสนาว่า ในการดำเนินชีวิตของญาติโยม สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพระ ฆราวาสทุกคน ต่างมีดีและมีชั่วปะปนกันไป ไม่ว่าใครที่ทำความชั่วหรือทำเลว ก็จะมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมาเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย เช่น ตำรวจจะเข้ามาช่วยเหลือดูแล หรือแม้แต่ คณะพระภิกษุสงฆ์เช่นกัน ก็จะมีคณะสงฆ์มาปกป้องคุ้มครอง หรือสอดส่องดูแลคณะสงฆ์ต่อไป ต่างคนล้วนมีหน้าที่ที่สำคัญที่ต้องดูแล

“หากมีสิ่งใดที่พระสงฆ์ประพฤติปฏิบัติมิชอบ ก็ให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน เช่นแจ้งหน่วยราชการ แจ้งสำนักพุทธ ก็จะนำหนังสือสู่เจ้าคณะจังหวัดในการที่จะตรวจสอบต่อไป จะมีคณะกรรมการสำนักพุทธเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการในการตรวจสอบจะไม่ทำให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะญาติโยมทั้งหลาย สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะดูแลปกครองพระสงฆ์อย่างดีที่สุดโดยเฉพาะเจ้าอาวาสวัด วัดต้องมีเจ้าอาวาสในการปกครองดูแลพระสงฆ์ในวัดให้ดีที่สุด”

ทั้งนี้ โดยเฉพาะวัดไผ่ล้อม ปกครองคณะสงฆ์โดยใช้หลักประชาธิปไตยภายใต้เหตุผล อยู่แบบให้วัดอาศัย ใช่ไปอาศัยวัดอยู่ นี่คือสิ่งที่วัดไผ่ล้อมบอกไว้เลยว่าเป็นโมเดลเป็นต้นแบบ พระสงฆ์ทุกรูปทำงานและทำหน้าที่ในการที่จะประพฤติปฏิบัติ อยู่ในกรอบของระเบียบวินัย อยู่ในกิจของสงฆ์ ตี 5 ทำวัตรเช้า 6 โมงเช้าบิณฑบาต หลังจากบิณฑบาตก็จะทำกิจทำหน้าที่ของพระสงฆ์ภายในวัด เก็บนำขยะทิ้ง รดน้ำต้นไม้ กวาดลานวัด ดูแลอาคารสถานที่ ตั้งแต่อุโบสถ ศาลา ทุกสิ่งทุกอย่าง วัดไผ่ล้อมถือเป็นโมเดลที่ดี ไม่เชื่อมาสัมผัสดูได้

ส่วนบุคคลใด ที่ทำไว้ไม่ดีก็จะไม่มีการถือโทษโกรธเคือง เพราะเราเป็นพระ ไม่สามารถโกรธเคืองใครได้ จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวทำ จะสูงจะต่ำอยู่ที่เราทำตัว คนเราจะทำหน้าที่การงานสามารถทำได้ดีทุกคน แต่หากเหลิงในการทำหน้าที่ ก็จะลงไปสู่การหลง คือ หลงตัวเอง คนอื่นผิดหมดเราถูกคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน อาตมาให้เหตุหลักธรรม คือ ค . ว. ย. ห. หมายถึง คิด วิเคราะห์ แยกแยะ และอยู่ภายใต้เหตุผล หากนำคติธรรมที่ให้ไปใช้ รับรองว่าจะไม่มีการเหลิงและหลงในชีวิตอย่างแน่นอน อาตมาเป็นพระน้อย ไม่สามารถกล่าวเตือนใครได้ แต่สิ่งที่อาตมาพูดหากเป็นสิ่งที่ดีก็นำไปปฏิบัติได้ หรือ คิดว่า อาตมาพูดไม่ถูกโยมก็ทิ้งมันไป

“ในส่วนของอาตมาเป็นคนพูดเสียงดัง โยมบางท่านที่ฟังแล้วก็หาว่าอาตมาพูดจาไม่เพราะเป็นพระนักเลง อาตมาพูดเสียงดังแต่พูดตรงไปตรงมา การพูดเสียงดังมีความผิดหรือ อาตมาเป็นพระนักเลงอาจจะใช่ เพราะอาตมาเป็นคนที่ไม่พูดโกหก กะล่อน ปลิ้นปล้อน หลอกลวง พูดคำไหนคำนั้น แต่ไม่ได้เป็นอันธพาลหรือคนเลว อาตมาเป็นพระนักเลงที่พูดคำไหนคำนั้น พูดตรงไปตรงมาและพูดด้วยความจริงใจ ไม่มีการเสแสร้งนี่คือตัวตนของอาตมาเอง” หลวงพ่อน้ำฝนกล่าว