อิทธิพลของพายุ “ไซโคลนโมคา” คร่าชีวิตแล้ว 30 ราย ใน “เมียนมา” ประกาศ “รัฐยะไข่” เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ

เมียนมารายงานจำนวนผู้เสียชีวิตจากอิทธิพลของพายุ “โมคา” เพิ่มต่อเนื่องเป็นอย่างน้อย 30 ราย ขณะที่รัฐบาลทหารประกาศให้รัฐยะไข่ซึ่งเสียหายมากที่สุด เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ว่าสถานีโทรทัศน์แห่งชาติของเมียนมา ( เอ็มอาร์ทีวี ) รายงานจำนวนผู้เสียชีวิตจากไซโคลนโมคา อยู่ที่อย่างน้อย 6 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ “อีกจำนวนหนึ่ง”

ขณะที่บ้านเรือนมากกว่า 860 หลัง และโรงพยาบาลอย่างน้อย 14 แห่งในประเทศ ได้รับความเสียหาย โดยไม่มีการระบุว่า ขอบเขตของความเสียหายเกิดขึ้นกับภูมิภาคแห่งใดบ้าง แต่ พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ประกาศให้รัฐยะไข่ที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศ และเป็นพื้นที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากอิทธิพลของพายุลูกนี้ เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ

ด้านแหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้นำชุมชนโรฮีนจา ที่เมืองซิตตเว เมืองเอกของรัฐยะไข่ กล่าวเพิ่มเติมว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 24 รายในพื้นที่ อย่างไรก็ดี ไซโคลนโมคาไม่ได้พาดผ่านโดยตรง ที่ค่ายผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจา ในเมืองค็อกซ์ บาซาร์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของบังกลาเทศ ทำให้ทุกฝ่ายโล่งใจ ว่าความเสียหายในบังกลาเทศไม่รุนแรงเท่าที่มีการหวาดกลัวกันก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ ( โอซีเอชเอ ) ออกรายงานเพิ่มเติม ว่าอิทธิพลของไซโคลนโมคา “ความเสียหายเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง” โดยเฉพาะที่เมืองซิตตเว เส้นทางคมนาคมหลายสายถูกตัดขาด เนื่องจากมีต้นไม้ขนาดใหญ่หลายต้นหักโค่น

นอกจากนั้น คลื่นพายุซัดฝั่งซึ่งเป็นอิทธิพลจากพายุ ยังสร้างความเสียหายให้กับเสาสัญญาณโทรคมนาคม และสถานีเครือข่ายอีกหลายแห่ง เท่ากับเป็นการทำให้เมืองซิตตเวถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยปริยาย

อนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อปี 2551 เมียนมาเผชิญกับอิทธิพลรุนแรงของไซโคลน “นาร์กิส” ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 130,000 ราย และความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง กดดันรัฐบาลทหารเมียนมา ให้ต้องประกาศขอรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากประชาคมโลก

เครดิตภาพ : AFP