“อิ๊งค์” ตอกกลับ “ธรรมนัส” จะรู้ดีกว่าคนในพรรคได้อย่างไร! ย้ำมติเพื่อไทยไม่จับมือ “ลุงตู่-ลุงป้อม”

“แพทองธาร” สวน “ธรรมนัส” จะรู้ดีกว่าคนในพรรคได้อย่างไร ย้ำมติเอกฉันท์ กก.บห.ไม่ร่วมประยุทธ์-ประวิตร และไม่ถนัดตอบโต้ ขอใช้เวลา 20 กว่าวันลุยหาเสียง ก่อนให้ประชาชนตัดสิน 14 พ.ค. นี้

วันที่ 23 เมษายน 2566 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร และนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงผลสำรวจความนิยมประชาชนของโพลหลายสำนัก คะแนนของตนเองมีคะแนนความนิยมไม่ได้ห่างจากพรรคก้าวไกลมากนักในบ้างโพล ว่า ตอนนี้ใกล้เลือกตั้งทุกคนก็คะแนนขยับขึ้นหมด ทุกคนก็เดินกลยุทธ์ของตนเองเต็มที่ดีใจที่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยมีคะแนนเพิ่มขึ้น ถือเป็นเรื่องดี หลังจากนี้ต้องแข่งขันกันต่อเหลือเวลาอีก 20 วันเพื่อไทยจะทำเต็มที่

เช่นเดียวกับนายเศรษฐา กล่าวถึงโพลของพรรคก้าวไกลที่คะแนนเพิ่มขึ้น พรรคเพื่อไทยจะปรับกลยุทธ์หาเสียงหรือไม่นั้น ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยยังเดินหน้า อธิบายเรื่องนโยบายของพรรคต่อไป ให้ทั่วทุกพื้นที่ คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรแล้ว

นางสาวแพทองธารกล่าวถึง มติที่นายเศรษฐาประกาศบนเวทีปราศรัยจ.เลยไม่จับมือกับพลเอกประยุทธ์ กับประวิตร แต่ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ออกมาบอกว่า มติที่พูดไปเป็นเพียงความเห็นของ 2 แคนดิเดตที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการพรรค มตินี้จึงไม่เป็นเอกฉันท์ ว่า “อิ๊งค์คิดว่าคนที่รู้ดี เรื่องในพรรคก็คือคนในพรรค ก็คืออิ๊งค์และคุณเศรษฐา เพราะฉะนั้นเราตอบไปอย่างไร ต้องฟังจากพรรคเพื่อไทย ถ้าจะถามว่าพรรคเพื่อไทยคิดอย่างไร ก็ต้องฟังคนจากพรรคเพื่อไทย”

นางสาวแพทองธารระบุอีกว่า เรามั่นใจและเหตุการณ์ครั้งหน้า ทุกคนต้องเข้าใจทุกพรรคต้องนำยุทธศาสตร์ตนเองออกมา เพื่อชนะการเลือกตั้งให้มากที่สุด ซึ่งพรรคเพื่อไทยทำเหมือนกัน ต้องหาเสียงด้วยนโยบาย ใช้นโยบายเป็นหลัก พรรคเพื่อไทยไม่ถนัดจะไปโจมตีใคร หรือไปตั้งรับตลอดเวลา เพราะตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว จึงต้องใช้เวลา 20 กว่าวัน อธิบายให้ประชาชนตัดสินใจว่าอยากได้ไหมพรรคการเมืองแบบนี้ที่จะมาตอบโจทย์มาแก้ปัญหาให้ประชาชนที่เกิดขึ้นเกือบทศวรรษที่ผ่านมา

นายเศรษฐา พูดเสริมว่า พรรคเพื่อไทยเดินหน้าเหมือนเดิมไม่มีปัญหาและเรื่องนี้ตอบไปแล้วหลายครั้ง และชัดเจนและไม่อยากจะไปพูดถึงพรรคอื่น วันนี้เรามีภารกิจเดินหน้า หาเสียงปราศรัยนโยบายให้เข้าถึงประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากมีข้อสงสัยในนโยบาย เราพร้อมชี้แจง วันที่ 14 พฤษภาคม อำนาจที่อยู่ในมือของประชาชนเป็นคนตัดสินใจจะเลือกใครมาแก้ปัญหา