“อุ๋งอิ๋ง” ลั่น! ถ้าถูกเลือกเป็นแคนดิเดตนายกฯ ก็พร้อม ชี้! “บิ๊กตู่” ไม่มีหัวใจประชาธิปไตย

“แพทองธาร” ไม่ยึดติดต้องเป็นนายกฯเอง หากมีคนที่เหมาะสมกว่า รับเคยคิดการเมืองโหดร้ายกับตระกูลชินวัตร แจงปม “ธนาธร” ร่วมงานกันได้แต่ต้องดูที่เนื้องาน มอง “บิ๊กตู่” ไม่มีหัวใจประชาธิปไตย

วันที่ 8 ก.ย. 2565 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย ลูกสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เปิดปาก กับ ภาคภูมิ” ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ผู้ประกาศข่าวไทยรัฐทีวี เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ผ่านมา โดย น.ส.แพทองธาร ชี้แจงถึงชื่อเล่นของตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วชื่อ “อิ๊งค์” ส่วนชื่อ “อุ๊งอิ๊ง” เป็นชื่อที่พ่อและแม่เรียกมาตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยติดเรียกบ้าง แต่จริงๆ ชื่ออิ๊งค์ คือชื่อหลัก ปัจจุบันตนเองอายุ 36 ปี มีครอบครัวแล้ว มีลูกสาว 1 คน 

ตอนที่ตัดสินใจเข้าสู่การเมือง ตอนนั้นลูกสาวยังอายุไม่ถึงขวบเต็ม แต่ตนเองมองหลายจุด เป็นคนที่จัดการเวลาให้ตัวเองได้พอสมควร และเป็นคนมีแพสชัน เรื่องเวลาให้ครอบครัวสามารถจัดการได้ แต่แน่นอนว่าตนเองมีแพสชันทางการเมือง โดยเริ่มแรกต้องการเข้ามาในพรรคเพื่อไทยก่อน เพื่อช่วยขับเคลื่อนในส่วนเล็กๆ โดยไม่ได้มองตำแหน่งอะไร พอลงตัว จึงเริ่มรับตำแหน่งในพรรค

“เอาแบบแฟร์ๆ ไม่ได้อยาก(เข้างานการเมือง) มาตลอด ตอนที่พ่อเป็นนายกฯ เขาเป็นฮีโร่ของอิ๊งค์แน่นอน เพราะอิ๊งเป็น Daddy’s girl อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น วันที่เขาเป็นนายกฯมันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจสำหรับเรา เราก็อยากจะแบบ ถ้าเราทำได้บ้าง มีพ่อเป็นนายกฯ หากทำงานการเมืองได้บ้างอยากทำเหมือนพ่อ อยากทำแล้วมันสำเร็จเหมือนพ่อ”

น.ส.แพทองธาร ยังระบุอีกว่า ตอนที่พ่อถูกรัฐประหาร ไม่อยากเล่นการเมือง เพราะมองเป็นเรื่องใกล้ซะจนอยากจะไกล แต่พอเวลาผ่านไป มีโอกาสมากขึ้น เลยทำให้เราคนรุ่นใหม่ ที่มองว่าโซเชียลมีเดียก็สามารถชี้แจงได้ทันควัน ถือเป็น adventage (ด้านบวก) ที่มองว่าอาจจะไม่แย่เหมือนเดิมแล้ว

พร้อมยอมรับว่าเคยคิดว่าการเมืองโหดร้ายกับตระกูลชินวัตร เพราะสิ่งพ่อกับอา (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)เจอ มันไม่ควรเจอ แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป และประชาชนเจอผลจากการรัฐประหาร จึงเชื่อว่าประชาชนทราบ และสามารถค้นคำตอบได้ด้วยมือของตนเอง ข่าวที่ไม่จริงจึงสามารถแก้และค้นหาความจริงได้ จึงรู้สึกว่าชอบที่สุดถ้ามันแฟร์ ทุกคนมีสิทธิวิจารณ์ และคิดได้ มันคือประชาธิปไตย มันคือคีย์อยู่แล้ว

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ ถ้าถูกขุดเรื่องเก่ามาโจมตี เช่น เรื่องการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย น.ส.แพทองธาร ระบุว่า ตนเองเข้าใจ แต่เรื่องนี้มันถูกตรวจสอบมาหมดแล้ว และเข้าใจว่าการดิสเครดิตทางการเมืองเป็นสีสัน ถ้าวันนั้นไม่ได้เจ็บคอก็สามารถตอบเรื่องนี้ได้ เพราะเป็นเรื่องเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และเข้าใจว่าบางคนอาจจะไม่ได้อ่าน

ส่วนทำไมถึงใช้คำว่าหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เพราะกฎหมายคนที่จะเป็นสมาชิกพรรคได้ต้องจ่ายเงิน ตนเองจึงมองว่าทำไม เพราะตนเองอยากทำลายข้อจำกัด ทั้งเรื่องอายุและเงื่อนไข หากทุกคนมีความคิดคล้ายพรรคเพื่อไทยก็สามารถเข้ามาได้ เพื่อให้คนเข้าถึงการเมืองง่ายขึ้น ขณะที่เรื่องอุบัติเหตุทางการเมือง ทางพรรคเพื่อไทยมีกรรมการบริหารพรรคที่ทำหน้าที่อยู่ และตนเองไม่ได้กลัวเรื่องนั้น เพราะตระกูลชินวัตรถูกตรวจสอบมาโดยตลอด ไม่ได้หลบหลีก

น.ส.แพทองธาร ยังชี้แจงเรื่องแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีว่า ต้องรอคนในพรรคเลือกก่อน เพราะต้องดูว่าคนในพรรคคิดอย่างไร เนื่องจากการเข้ามาต้องแสดงศักยภาพและความตั้งใจก่อน เพราะถือเป็นเรื่องกดดันที่จะต้องเจอ

“หากวันนั้นถ้าเขาเลือกเราเป็น เราต้องพร้อม หากไม่เลือกเราก็ต้องพร้อม อิ๊งค์อายุ 36 เรากำลังมีแพสชันมีไฟ เอาเราไปไว้ตรงไหนก็พร้อมทำทุกที่”

ส่วนการร่วมงานทางการเมือง มองว่ายังเร็วไป เพราะยังไม่ทราบผลเลือกตั้ง แต่เชื่อว่าทุกพรรคมีโมเดลของตนเอง เมื่อถามว่าจะร่วมงานกับ แคนดิเดตที่ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้หรือไม่ น.ส.แพทองธาร ระบุว่า “ขอเน้นว่าเราจะร่วมทำงานกับคนที่ มีหัวใจประชาธิปไตย เชื่อในประชาธิปไตย ไม่รู้ว่านายกฯ เชื่อแบบนั้นไหม เพราะไม่ได้มาจากประชาชน ก็คิดว่าจะไม่ใช่”

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทย สามารถร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐได้หรือไม่ ต้องดูการเลือกตั้ง เพราะตอบตอนนี้ยังเร็วไป ส่วนกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแต่ไม่รู้ว่าพรรคก้าวไกลจะได้ร่วมงานหรือเปล่า น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในตัวบุคคลไม่ได้มีปัญหา แต่การจัดตั้งรัฐบาลมันคือเรื่องใหญ่ของประเทศ จึงขอมองเป็นภาพนั้น การที่เราหาเสียงแบบแลนด์สไลด์ เพราะต้องการผลักดันนโยบายให้สำเร็จ หากจะจับมือกับพรรคเล็กพรรคน้อย เราต้องแน่ใจก่อนว่าพรรคเหล่านั้นเห็นด้วยกับสิ่งที่เราจะทำหรือไม่เพื่อประชาชน เพราะฉะนั้นคนที่มาร่วมต้องทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ เพราะเราสัญญาแล้วว่าจะทำให้มันเกิดขึ้น หากคิดว่านโยบายนี้ทำไม่ได้ก็ร่วมงานกันยาก

“อิ๊งค์ว่ามันต้องตัดสินที่เนื้องาน ไม่ใช่ชื่อพรรค ไม่ใช่ชื่อบุคคล แต่ว่ามันคือความเชื่อความมั่นใจ ว่าอยากจะผลักดันนโยบายเหล่านั้นของพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด ที่เขาเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล ให้จัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ อิ๊งค์ว่าอันนั้นค่ะ มันคือ คีย์(กุญแจสำคัญ)”

เมื่อถามว่าหากชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ น.ส.แพทองธาร ระบุว่า มันยังไกลไปอีกมาก เพราะมันต้องผ่านกระบวนการอีกมากมาย ต้องผ่านการที่ประชาชนเลือก คนในพรรคเลือกและการยอมรับ “เหมือนคิดตอนนี้มันเป็นคำใหญ่มาก เลยไม่รู้จะตอบอย่างไร พอมานั่งคิด”

เมื่อถามว่าอยากเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะในครอบครัวก็มีอดีตนายกฯถึง 3 คน น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนเองอยากเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ไม่เคยคิดว่าเมื่อฉันเข้าการเมืองเพราะอยากเป็นนายกฯ มันไม่ใช่เป้าหมายหลัก เพราะต้องการแก้ปัญหาปากท้องประชาชนจริงๆ โดยจะเอาตนเองไปไว้ในตำแหน่งเล็กๆ หรือเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยอยู่ก็ได้ แล้วมีใครที่เหมาะสมเป็นนายกฯ ตนเองก็ยินดีด้วยมากๆ เพราะอยากให้ประเทศออกจากจุดนี้สักที เพราะประเทศมีปัญหาทุกมิติ

“ถ้ามีคนที่สามารถมาแก้ได้ เราก็ต้องยินดี ถึงแม้เราจะไม่อยู่ในพรรคนั้น ก็ต้องยินดีเหมือนกัน เพราะประเทศต้องไปต่อได้แล้ว (ไม่จำเป็นต้องเราเป็นนายกฯ) ไม่จำเป็นเลยค่ะ (ใครก็ได้ที่สามารถทำให้ประเทศนี้ดีขึ้น) ถูกต้อง”

ส่วนมุมมองการเป็นนายกฯของตนเอง มองว่า รากหญ้ามีปัญหามาก คนไทยขาดโอกาสและเสียโอกาสไปมาก ในเกมการเมือง จึงอยากให้ไปต่อ เพราะทุกคนอยากเห็นประเทศดีขึ้น พูดแบบบ้านๆ คือ ทุกคนอยากมีตังค์ใช้ ตนเองก็มีลูก ก็อยากให้อยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยโอกาส แสดงศักยภาพได้ เพราะ 8 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องเศรษฐกิจ หรือจีดีพี มันถดถอยมาก