เลือกตั้งซ่อมหลักสี่ “พลังประชารัฐ” พ่ายหมดรูป! แม้ “บิ๊กป้อม” ลงพื้นที่ช่วย สะท้อน! หมดยุค “ผู้นำ” สั่ง “ทหาร”

  • เลือกตั้งซ่อมหลักสี่ พลังประชารัฐ พ่ายหมดรูป แม้ “บิ๊กป้อม” เร่งลงพื้นที่ช่วย “มาดามหลี” พร้อมเปลี่ยนกลยุทธ์ ชู “บิ๊กตู่” เป็น หน.พรรค เพื่อหวังคะแนนนิยม แต่กลับได้คะแนนไม่ถึงหมื่น
  • ถือเป็นช่วงสิ้นมนตร์ขลังของพรรคพลังประชารัฐ และพี่น้อง 3 ป. ที่อยู่ในช่วง “ขาลง” เรตติ้งถดถอย เป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้ามศึกเลือกตั้งใหญ่ ขณะที่พรรคก็เกิดรอยรั่ว แตกหักกับก๊วนผู้กอง
  • หมดยุค “ผู้นำ” สั่ง “ทหาร” ลงคะแนน เทเสียงให้พรรคใดพรรคหนึ่ง เพราะ “กองทัพ” ยุคใหม่ กำลังพลมีอิสระ ชี้นำไม่ได้ แม้แต่ ผบ.หน่วย ก็ไม่คิดทำ เพราะในโลกโซเชียล ทหารเป็นที่จับตา และเมื่อหัวไม่ส่าย หางจึงไม่กระดิก

ผลคะแนนเลือกตั้งซ่อม กทม.เขต 9 หลักสี่-จตุจักร ออกมาทำให้ “พรรคพลังประชารัฐ” ถึงกับเงิบ เพราะคะแนนตกวูบ หล่นมาอยู่พรรคอันดับ 4 ทำคะแนนไม่ถึงหมื่น ฝ่ายความมั่นคงที่ยืนข้างรัฐบาล ต้องออกมายอมรับความพ่ายแพ้ เพราะไม่ใช่แค่สนามเลือกตั้ง กทม. แต่ที่ จ.สงขลา จ.ชุมพร ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ที่พรรคพลังประชารัฐพ่ายแพ้แบบหมดรูป ทั้งที่เป็นพรรคมีอำนาจรัฐ เป็นพรรคที่กุมความได้เปรียบคู่ต่อสู้ทั้งหมด แต่ถึงเวลานี้กลับอยู่ในช่วง “ขาลง” อย่างจริงจัง

แม้การหาเสียงในโค้งสุดท้าย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะลงเดินช่วย “มาดามหลี” สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ หาเสียงในพื้นที่ พร้อมทีมงาน โดยงัดกลยุทธ์ ชู “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เพราะแอบหวังว่าชื่อ “ลุงตู่” ยังขายได้ และหวังได้คะแนนนิยมในตัวนายกฯ เพื่อมัดใจประชาชน ดึงคะแนนลงสู่ผู้สมัคร


แต่เมื่อดูเสียงประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีเพียง 88,124 คน หรือเพียง 52 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 167,287 คน กลับไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ จึงทำให้เห็นความแตกต่าง เพราะคะแนนที่ออกมา “พรรคเพื่อไทย” ได้ถึง 29,416 คะแนน ทำให้ นายสุรชาติ เทียนทอง เข้าวิน เป็นว่าที่ ส.ส.คนใหม่

โดยมี นายกรุณพล เทียนสุวรรณ ผู้สมัครจาก “พรรคก้าวไกล” ซึ่งเพิ่งมาลงสนามเลือกตั้งเป็นครั้งแรก แต่กลับสร้างผลงานได้ดี ทั้งเสียงจากวัยโจ๋ ตลอดจนวัยรุ่น ส่งผลให้คว้าคะแนนมาเป็นอันดับที่ 2 ถึง 20,361 คะแนน ซึ่งพรรคที่ได้คะแนนอันดับ 1 และ 2 ต่างเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทั้งคู่

ขณะที่ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาฯ พรรคกล้า ได้เสียงของประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ์ เป็นอันดับ 3 ได้เพียง 20,047 คะแนน 

ส่วน “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ส่ง สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ หลังบ้าน สิระ เจนจาคะ อดีต ส.ส.ในเขตนี้ ที่หมายมั่นจะคว้าเก้าอี้ไปครอง เพราะเป็นผู้สมัครจากพรรครัฐบาลที่มีอำนาจทุกอย่างในมือ แต่กลับได้คะแนนมาเป็นอันดับที่ 4 เพียง 7,906 คะแนน จึงถือเป็นบทเรียนอีกครั้งสำหรับ พปชร. ที่อยู่ในช่วงดำดิ่ง เพราะความพ่ายแพ้หมดรูปติดๆกันถึง 3 สนามเลือกตั้งซ่อม ภายในเดือนเดียวกัน

ซึ่งผู้ที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆ ในส่วนนี้จึงหนีไม่พ้น “บิ๊กป้อม” ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะหัวเรือใหญ่ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ที่มนตร์ขลังเริ่มถดถอย เรตติ้งดิ่งต่ำ ชื่อชั้นที่เคยขายออก กลับหดหายไป จึงเป็นเสียงสัญญาณที่พี่น้อง 3 ป. ไม่ควรมองข้าม อีกทั้งรอยรั่วในพรรคกำลังแตกหัก หลังปรากฏการณ์ขับไล่ก๊วน “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พร้อม 21 ส.ส.ออกจากพรรค

ยิ่งตอกย้ำไปกว่านั้นเมื่อ “ผู้กองธรรมนัส” ซึ่งเป็นอดีตเลขาฯ พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความ “the enemy of my enemy is my friend” หมายถึง “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” เป็นปริศนาภายใต้ชัยชนะของคู่แข่งอย่างพรรคเพื่อไทย ขั้วตรงข้ามทีม 3 ป.ทันที

เมื่อข้ามมองไปยังคะแนนเสียงในหน่วยทหาร ทั้งเขตหลักสี่ และจตุจักร จากการสำรวจพบว่าใน 2 เขตดังกล่าวมีหน่วยทหาร ค่ายทหารจำนวนมาก ทั้งกองบัญชาการกองทัพไทย มณฑลทหารบกที่ 11 พัน.ร.มทบ.11 กรมยุทธโยธาทหารบก กรมวิทยาศาสตร์ทหารบก กองบัญชาการช่วยรบที่ 1 (ส่วนแยก) โรงเรียนช่างฝีมือทหาร

กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 1 กรมยุทธบริการทหาร สำนักงานแพทย์ทหาร กรมยุทธบริการทหาร สำนักงานยุทธโยธาทหาร สำนักสวัสดิการทหาร สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สำนักโยธาธิการ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

นอกจากนี้ยังมีบ้านพักข้าราชการทหาร แฟลตทหาร ในส่วนกองทัพไทย กองทัพบก และสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม อีกหลายหมื่นครอบครัวที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ในครั้งนี้ แต่ทุกหน่วยเลือกตั้ง คะแนนกลับถูกเทให้ “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรก้าวไกล” จนเกิดความสงสัยว่าเสียงจากทหารหลายหน่วย ไฉนจึงเทไปให้อยู่กับพรรคฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล กลายเป็นคำถามตามมาทันที

เพราะในอดีตไม่ว่าจะพื้นที่ไหน คำสั่งผู้บังคับบัญชาสั่งการลงมายังกำลังพลท็อปบู๊ต ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกันหมด แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน เพราะเมื่อเข้าสู่ยุคโซเชียล อะไรที่ทำได้ ก็กลับทำไม่ได้เช่นกัน

กระทั่ง พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ออกมาเฉลย พร้อมระบุว่า การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นไปตามวิถีทางการเมือง การใช้สิทธิ์ของประชาชน และการเสนอนโยบายของผู้สมัครมีบรรยากาศที่ดี เป็นมิติใหม่ทางการเมือง ที่ไม่ปรากฏการให้ข้อมูลกล่าวร้าย และเป็นแนวทางการเมืองที่ประเทศไทยมุ่งหวังจะก้าวไปสู่ในอนาคต ทั้งนี้ผู้สมัครและพรรคการเมืองที่จะได้รับการคัดเลือกนั้น คือผู้ที่เข้าใจในความคิดของประชาชน รวมทั้งให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

จึงชี้ให้เห็นว่า “กองทัพ” ยุคนี้ ที่มีการเปลี่ยนแปลง แม้แต่ “รัฐบาล” ก็สั่งทหารไม่ได้จริงๆ และ “ผบ.ทบ.” ก็ไม่สั่ง “ผู้บังคับหน่วย” และ “ผบ.หน่วย” ก็ไม่กล้าที่จะไปสั่งลูกน้อง เพราะหากผิดพลาด หรือถูกจับได้ด้วยหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย คลิป หรือคำพูด โทษที่ตามมาหนัก และอาจชี้ชะตาถึงอนาคต และผลกระทบจะถึงครอบครัวได้ ดังนั้นจึงปล่อยให้เป็นแนวความคิดของกำลังพลในการใช้สิทธิ์อย่างแท้จริง


เพราะหากย้อนไปเมื่อการเลือกตั้งปี 2562 หน่วยเลือกตั้งหน้าค่ายทหารหลายหน่วยในเขตนี้ทั้ง พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ก็มีคะแนนนำพรรคพลังประชารัฐ จึงสะท้อนได้ว่า ยุคนี้จะ “ทหารสั่งไม่ได้แล้ว” ในเรื่องการเลือกตั้ง หรือแม้แต่การเลือกตั้งซ่อมที่ จ.สงขลา และ จ.ชุมพร ซึ่งก็มีหน่วยทหารจำนวนหลายค่าย แต่ “พลังประชารัฐ” ก็พ่ายแพ้หมดรูปมาแล้ว จึงทำให้เห็นทั้ง 3 สนามเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาสะท้อนทั้ง คะแนนนิยมพรรค และตัว พล.อ.ประยุทธ์ สิ้นหมดมนตร์ขลังแล้วจริงๆ


ขณะที่ “พรรคก้าวไกล” ออกมาระบุ คะแนนเสียงที่ผู้สมัครของพรรคสามารถชนะในพื้นที่ทหาร หน่วยเลือกตั้งโรงเรียนช่างฝีมือทหารอย่างท่วมท้น คือสิ่งพิสูจน์ความเชื่อที่มีทหารจำนวนไม่น้อยเห็นด้วยกับนโยบายปฏิรูปกองทัพของพรรคก้าวไกล กำลังพลเหล่านั้นอยากเห็นกองทัพที่สมาร์ท มีทหารอาชีพประจำการด้วยสวัสดิการที่ดี ไม่มีการบังคับเกณฑ์ทหารไปเป็นไพร่รับใช้นาย ทหารจะต้องเป็นนักรบที่มีเกียรติ ปกป้องประชาชนและประชาธิปไตยอย่างถวายดวงใจ

“หลายคนเคยมองว่า พรรคก้าวไกลเป็นปฏิปักษ์กับกองทัพ เข้าไปหาเสียงในค่ายทหารก็คงไม่ได้คะแนน กลับมาวันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่แค่ประชาชนทั่วไปที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่บุคลากรของกองทัพก็ต้องการในสิ่งเดียวกัน อำนาจนิยมในกองทัพอาจจะกดให้พี่น้องทหารไม่อาจขัดขืนได้ชั่วคราว จึงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราสามารถเลือกด้วยหัวใจได้ พรรคก้าวไกลเดินทางไกลด้วยการปักธงทางความคิด เพราะหากชนะทางความคิดได้เมื่อไหร่ กองทัพจะเปลี่ยนไปตลอดกาล ซึ่งนั่นจะหมายถึงชัยชนะของประชาชนด้วย ขณะนี้ธงความคิดของเราปักเข้าไปในกองทัพได้สำเร็จแล้ว”

ดังนั้นทิศทางการเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไปที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าจะสนามเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. หรือ เลือกตั้งใหญ่ แผงอำนาจ 3 ป. ที่อยู่ในช่วงขาลง อาจจะต้องคิดหนัก หรือหากต้อง “ยุบสภา” แล้วเลือกตั้งใหม่ ก็ไม่ง่ายที่จะปักธงนำพลังประชารัฐชนะเลือกตั้ง แม้จะมี 250 ส.ว.อยู่ในมือ รอยกมือให้ แต่เมื่อเกมช่วงชิงอำนาจจากนี้ต้องเปลี่ยนตามกาลเวลา และประชาชนจะรู้มากขึ้น นั้นก็อาจทำให้ ส.ว.ก็ไม่กล้าฝืนสิ่งที่ถูกต้อง

และเหนือสิ่งอื่นใดเมื่อพลังเสียงจาก “กองทัพ” ปัจจุบันไม่สามารถชี้นำ หรือสั่งได้อีกต่อไป นั้นยิ่งทำให้การกุมเสียงความได้เปรียบของฝ่ายรัฐบาล พลังประชารัฐ หรือแม้แต่ “บิ๊กตู่” ให้เป็นต่อฝ่ายคู่แข่ง ก็เริ่มทำได้ยาก ดังนั้นการต่อสู้สนามครั้งหน้าต้องอาจชี้ด้วย นโยบาย พรรคการเมือง และผู้สมัคร จะเป็นตัวกำหนดอนาคต และทางเดินประเทศไทย แต่ขอให้หลังการเลือกตั้งอย่าเกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองอีกต่อไป

ผู้เขียน : ยุทธจักรเขียว

กราฟิก : varanya phae-araya