“เอ็มมานูเอล” เดินทางเยือนกรุงมอสโก หารือ! “ปูติน” หวังซื้อเวลาและยับยั้งสถานการณ์ไม่ให้ลุกลามบานปลาย

เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา นายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เดินทางเยือนกรุงมอสโก หารือกับนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ถึงเรื่องสถานการณ์ความตึงเครียดในยูเครนและภูมิภาคยุโรปตะวันออก โดยแหล่งข่าวในรัฐบาลฝรั่งเศส ระบุว่า เป็นการโยนลูกเต๋าเดิมพัน หวังซื้อเวลาและยับยั้งสถานการณ์ไม่ให้ลุกลามบานปลายต่อไปอีก 2-3 เดือน หรืออย่างน้อยจนถึงเดือน เม.ย.นี้ ที่หลายประเทศในยุโรปจะจัดการเลือกตั้งทั้งฮังการี สโลวีเนีย และฝรั่งเศสเอง ที่มีกำหนดเลือกตั้งระหว่างวันที่ 10-24 เม.ย.

ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ถือเป็นการเดิมพันที่สูงสำหรับนายมาครง เพราะหากต้องกลับมามือเปล่า ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ย่อมส่งผลกระทบต่อการเดินทางเยือนกรุงเคียฟของยูเครน ในวันต่อมา 8 ก.พ. ทั้งจะถือเป็นเรื่องน่าอับอายก่อนหน้าการเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือน

ก่อนหน้าการเดินทางไปรัสเซียจะเกิดขึ้น นายมาครงได้พยายามต่อสายหารือกับชาติพันธมิตร ตะวันตก รวมถึงนายปูตินอย่างต่อเนื่อง แต่นักวิเคราะห์มองว่า จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่นายมาครงขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสเมื่อปี 2560 เคยให้การต้อนรับนายปูติน 2 ครั้ง ที่พระราชวังแวร์ซาย หลังจบศึกการเลือกตั้ง และอีก 2 ปีต่อมา ที่ทำเนียบประธานาธิบดี กระนั้นในภาพรวมแล้วถือว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก ในการสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของรัสเซีย อย่างในประเทศมาลี ภูมิภาคแอฟริกา ที่เคยเป็นพื้นที่อิทธิพลของฝรั่งเศส ก็มีรายงานการปรากฏตัวของกองกำลังทหารรับจ้างรัสเซีย ที่ฝรั่งเศสเชื่อว่ารัฐบาลรัสเซียหนุนหลัง

ด้านนายเจต ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอ็นบีซี โดยกล่าวหารัฐบาลรัสเซียเพิ่มเติมว่า รัสเซียในขณะนี้พร้อมที่จะรุกรานยูเครนทุกเมื่อ การรุกรานเกิดขึ้นได้ทุกวัน หรืออาจภายใน 2-3 สัปดาห์ ซึ่งจะเป็นปฏิบัติการทางทหารที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และจะสร้างความเสียหายต่อชีวิตคนรวมถึงความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์ของรัสเซียอย่างมหาศาล ไม่ว่ารัสเซียจะเลือกทางเดินไหน อเมริกาก็พร้อมที่จะรับมือ พวกเราได้ทำงานอย่างหนักเพื่อเตรียมการตอบสนอง กระนั้น สหรัฐฯก็พร้อมเจรจากับรัสเซียในเรื่องข้อกังวลด้านความมั่นคง ส่วนนายอันเดรย์ ซาโกรอดเนียก อดีต รมว.กลาโหมยูเครน ประเมินว่า หากถูกรัสเซียรุกรานแล้ว กรุงเคียฟย่อมแตกพ่าย แต่กำลังทหารของรัสเซียขณะนี้ยังไม่เพียงพอที่จะยึดยูเครนทั้งประเทศ.